วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทาน หุ่นทั้งสี่

ครั้งหนึ่งมีช่างทำหุ่นและภรรยา  ทั้งคู่มีบุตรชายชื่อ อ่อง วันหนึ่งอ่องตัดสินใจจะออกจากบ้านเพื่อเที่ยวแสวงหาโชคในแดนไกล  เมื่อบิดาอนุญาตแล้ว  อ่องก็เตรียมตัวเดินทาง  มารดาจัดหาอาหารที่จะเก็บเอาไว้ได้นานวันให้เอาไปกินตามทาง  บิดาก็ให้หุ่นไปสี่ตัวเพื่อเก็บเอาไว้เป็นเพื่อนและไว้ช่วยเหลือกันตามทาง

หุ่นตัวแรกแกะเป็นชาวสวรรค์  ให้ชื่อว่า "เทวา "แต่งด้วยเสื้อขาวสะอาดแกมสีทองห้อยยาวเป็นจีบพริ้วเหมือนปุยเมฆ หุ่นตัวที่สองแกะเป็นยักษ์ใหญ่ให้ชื่อว่า "ยักขา" มีเกล็ดสีเขียวมรกตห่อหุ้มทั่วร่างกาย  มีอินทนูเหมือนแหลมทอง  แหลมเปี๊ยบงอกออกมาจากไหล่ทั้งสองและจากศอกทั้งสอง หุ่นตัวที่สามแกะเป็นครึ่งคนครึ่งเทพให้ชื่อว่า "ซอคะยี"  สีกายแดงเป็นประกายดังเพลิงปนด้วยจุดสีทอง หุ่นตัวสุดท้ายแกะเป็นดาบสให้ชื่อว่า "เขมะ"  ใส่เสื้อยาวเรียบๆ  ถือไม้เท้ายาวและอุ้มบาตร

พอเตรียมตัวเสร็จ  อ่องก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าบิดามารดา  พนมมือทั้งสองเป็นรูปดอกบัวตูม  ก้มศีรษะลงไหว้บิดามารดาสามครั้ง  บิดามารดาก็อวยชัยให้พร  แล้วอ่องก็ออกเดินทาง  คอนไม้ไผ่ลำแข็งแรงลำหนึ่งไว้บนไหล่  ปลายไม้ข้างหนึ่งคล้องห่อเสื้อผ้าอาหาร  อีกข้างคล้องหุ้นทั้งสี่ตัวไว้

วันแรกของการเดินทางนั้น  เมื่อเงามืดยามเย็นเริ่มปกคลุมพื้นดิน  อ่องรู้สึกว่าตัวเขากำลังเดินอยู่ในป่าอันมืดครึ้ม  เขามองหาถิ่นที่จะพักแรมในตอนกลางคืน  เห็นพื้นดินใต้ร่มไทรต้นหนึ่งน่าสบายนัก  แต่อ่องก็หันไปปหารือเทวาก่อนว่า  ควรจะพักนอนตรงนั้นหรือไม่ เขาตะลึงเพราะอัศจรรย์ใจที่เทวามีชีวิตขึ้นมาต่อหน้าต่อตา  พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอันเมตตาว่า  "อ่องเอ๋ย เจ้าต้องใช้นัยน์ตาของเจ้า แล้วคิดเอาเองเถิด"

อ่องเหลียวมองรอบๆอย่างพินิจพิเคราะห์  ก็แลเห็นรอยเท้าเสือใต้ต้นไทร  เขาจึงเลิกคิดที่จะนอนบนใบไม้อันอบอุ่นอ่อนนุ่ม  แต่ปีนขึ้นบนต้นไม้และนอนอย่างไม่เป็นสุขตลอดคืนนั้น  เขานึกขอบคุณคำเตือนของเทวา  เพราะในกลางดึกเงียบสงัดนั้นเอง  อ่องได้เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่กับเมียของมันมาสูดกลิ่นเสียงฟุดฟิดอยู่ตรงบริเวณใต้ต้นไทร

อ่องเดินทางต่อไปอีกสองสามวัน  ก็มาพักแรมอยู่บนเนินเหนือหนทางเดินบนเขา  เมื่ออ่องมองไปมองมาก็แลเห็นกองเกวียนกำลังมุ่งมาตามทางนั้น  เขารู้ว่ากองเกวียนกองนี้ต้องบรรทุกของมีค่ามาจากแดนไกล  ทันใดความโลภก็เข้าครอบงำ  อ่องอยากได้สมบัติมาเป็นของตน เขาจึงหารือยักขาว่าทำอย่างไรจึงจะได้ของมีค่าเหล่านั้น  ยักขาตอบว่า

"อ่องเอ๊ย สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา เจ้าก็ต้องเอาสิ่งนั้นให้ได้ ไม่มีอะไรจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้ามีพลังและอำนาจ ดูนี่แน่ะ" แล้วยักขาก็กระทืบเท้าขวาลงบนพื้นดิน แผ่นดินก็หวั่นไหวราวกับเรือต้องพายุ  เสียงก้อนหินใหญ่น้อยกระแทกกันดังสนั่นครั่นครืนเสียงกู่ก้องด้วยความตกใจกลัวเมื่อเนินเขาด้านหนึ่งทรุดถล่มลงขวางทาง  ชาวเกวียนวิ่งหนีเอาชีวิตรอด  เผ่นเตลิดเปิดเปิงไปทุกทิศทุกทางจนหายลับไปจากสายตา ยักขาเอ่ยขึ้น "เห็นไหมล่ะ อ่อง คนเกวียนหนีไปหมดแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของเจ้าแล้ว"

อ่องวิ่งลงไปยังทางเดินพร้อมกับร้องว่า "เป็นของเราทั้งนั้น ของเราทั้งนั้น" เขาวิ่งโผจากเกวียนเล่มหนึ่งไปยังเกวียนอีกเล่มหนึ่ง  สองแขนก็หอบหีบที่เต็มไปด้วยเงินทอง  ผ้าต่วน  ผ้าไหม  พรมปูนั่ง  พรมปูพื้นห้อง

ทันใดนั้น  อ่องก็ได้ยินเสียงสะอื้นกระซิกๆ  เขาแปลกใจมากจึงเหลียวหารอบๆ  อยู่นั่นเอง!  หญิงสาวผู้หนึ่งขดตัวซุกอยู่ในเกวียนเล่มหนึ่ง  เธอคือ มาลา เป็นลูกสาวเจ้าของเกวียนต้องถูกทิ้งไว้ตามลำพัง อ่องพยายามปลอบโยนเธอ  สัญญาว่าจะดูแลเธอให้ปลอดภัย  แต่เธอกลับโกรธมากเกรี้ยวกราดเอาว่า

"แกอยากได้ตัวฉันด้วยก็เชิญซิ เอาไปเสียพร้อมๆกับทรัพย์สินที่แกขโมยนี่แหละ แต่ฉันจะไม่ยอมพูดจากับแกเป็นอันขาด แกไอ้โจรปล้น ไอ้หัวขโมย" อ่องไม่รู้ว่าจะทำฉันใดดี  เขากำลังคิดหาคำพูดว่าจะพูดอย่างไร  พอดียักขาพูดขึ้นว่า

"มาเถิดน่า  เจ้าหนุ่มน้อย  อย่ามัวเสียเวลานั่งพูดกับหญิงขี้แยหน่อยเลย  ผู้ชายต้องเข้มแข็งไว้  ความเข้มแข็งเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจและพลัง  มาเถอะ  เรายังต้องมีอะไรจะต้องทำกันอีกมากนัก" จริงทีเดียว  อ่องยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำ  เมื่อได้ทรัพย์สมบัติที่อยากได้มาแล้ว  ไม่เพียงแต่จะเก็บรักษาไว้เท่านั้น  ยังต้องทำให้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นงอกเงยขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นเขาจึงขอให้ซอคะยี  หุ่นตัวที่สามช่วยเขา  "บอกหน่อยเถิด ท่านจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง" แทนคำตอบซอคะยีกระโดดแผล็วขึ้นไปบนอากาศ  กวัดแกว่งไม้เท้าสีแดงอยู่ไปมา  โลกธาตุทั้งหลายพลันอ่อนเชื่องมือลง  ก้มหลังที่เทียมอานไว้ลงรับใช้อ่องแต่โดยดี อ่องควรจะเป็นบุรุษที่เสวยสุขมากที่สุดในโลก  แต่การก็หาเป็นเช่นนั้นไม่  มาลาไม่ยอมพูดจาด้วยเลย  แม้อ่องจะประเคนของขวัญซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งงดงามให้เธอเท่าใด  มาลาก็ยังไม่เปิดปาก  ไม่หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น

ในที่สุด  มาลาก็เอ่ยปากกับอ่องในวันหนึ่งว่า  บิดาของเธอมาตามหาเธอที่ปราสาทของอ่อง  เพราะอ่องขโมยทรัพย์สมบัติของบิดาเธอเกลี้ยง  บิดาของเธอจึงยากจนข้นแค้นยิ่งนัก  และเนื่องจากทรัพย์สมบัติที่อ่องปล้นมานั้น  บัดนี้ก็เพิ่มพูนขึ้นมากมายหลังจากที่อยู่ในครอบครองของอ่องแล้ว  เธอจึงขอร้องให้อ่องคืนส่วนที่เป็นของบิดาของเธอเสียเถิด

อ่องเต็มใจทีเดียวที่จะทำตามคำขอร้องของมาลา  เขามีเงินทองมากมายสามารถคืนทรัพย์สินส่วนของบิดาของเธอ  และแถมกำไรบางส่วนที่เขาทำให้เพิ่มพูนขึ้นมาอีกด้วยก็ยังได้  แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน  อ่องขอให้มาลากรุณาแก่เขาสักอย่างหนึ่งคือ  ให้เธออยู่กับเขาต่อไปได้หรือไม่ ยักขาและซอคะยีคัดค้านแผนการนี้ของอ่องเสียงแข็ง  หุ่นทั้งสองเอ่ยว่า

"ถ้าเจ้าจำยอมเสียครั้งหนึ่งแล้ว มันจะไม่มีวันสิ้นสุดดอก คำขอร้องอื่นๆก็จะตามมาอีกเรื่อยๆ จำไว้นะ ในโลกแห่งเงินตราและอำนาจนี้ การเป็นบุคคลผู้อ่อนแอจะไม่ก่อให้เกิดผลดีเลย คนที่จำยอมเขาอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ได้รับผลดีด้วย"

ทีแรกอ่องก็พยายามจะโต้แย้ง  แต่ยักขาและซอคะยีกลับโต้หนักขึ้น  ทั้งคู่เยาะเย้ยความอ่อนแอของอ่อง  เย้ยแล้วเย้ยอีกให้อ่องได้อาย  ขณะกำลังโต้แย้งถกเถียงกันอยู่นั้น  คนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งแก่อ่องว่า  มาลาและบิดาพากันไปแล้วโดยไม่รอเอาทรัพย์สมบัติใดๆ

คราวนี้อ่องเองจึงสำนึกได้ว่า  ต่อแต่นี้ไปเขาจะมีแต่ทุกข์ระทม  เศร้าหมองและว้าเหว่  แต่ก็พลันหวนนึกขึ้นได้ว่าเขายังมีหุ้นตัวสุดท้ายที่บิดาให้แก่เขานานมาแล้ว  คือตัวที่ชื่อว่า เขมะ อ่องจึงไปขอคำแนะนำจากเขมะ  แต่เขมะนั้นไม่มีพลัง ไม่มีอำนาจและทรัพย์สินมีค่าใดๆเลย  มีแต่เสื้อ ไม้เท้าและบาตร  เขมะกล่าวกับอ่องว่า "แต่เราไม่เห็นจะสำคัญ เราไม่เคยรู้จักความไร้สุข เพราะเราสงบต่อโลก ดังนั้นกายใจเราจึงสงบลงด้วย"

อ่องตกลงใจจะลองมีชีวิตอยู่อย่างดาบส  เขาละปราสาทออกท่องเที่ยวพเนจรไปทั่วดินแดน  ขอบริจาคจากชนที่มีน้ำใจกรุณาต่อเขา  ก็แปลกพอใช้อ่องกลับรู้สึกเป็นสุขขึ้นกว่าเดิมมาก  มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขายังคงปรารถนาอยู่  คืออยากจะได้พบมาลาและบิดาของเธอเพื่อจะขอขมาลาโทษแย่งนอบน้อม  และขอให้ทั้งสองให้อภัยแก่เขา

วันหนึ่งอ่องไปยินอยู่ที่หน้าประตูบ้านของสามัญชนแห่งหนึ่ง  คอยว่าจะมีใครออกมาทำบุญทำทานบ้าง  เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกมา  นัยน์ตาของอ่องเพ่งลงต่ำอยู่ตลอดเวลา  จึงเห็นแต่มือสองข้างใส่อาหารลงในบาตร  เป็นมือขาวบางจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินอ่อนใต้ผิว  นิ้วเรียวงามนี้แหละที่เขาอยากแตะต้องมานมนานแล้ว อ่องจึงเงยหน้าขึ้น  อุทานออกมาว่า "มาลา เธอจำไม่ได้หรือว่าฉันคือใคร อ่องอย่างไรเล่า ฉันมาขออภัยโทษ พ่อของเธออยู่ไหน"

อ่องถูกนำตัวเข้าไปในบ้านบิดาของมาลา  เขาขอขมาคนทั้งสองอย่างอ่อนน้อม  ซึ่งทั้งมาลาและบิดาของเธอก็พร้อมที่จะให้อภัย  คนทั้งสามสนทนากันหลายเรื่องในอดีต ปัจจุบัน  และอนาคต  ในที่สุดมาลาและบิดาของเธอก็ยินยอมกลับปราสาทกับอ่อง เมื่อทั้งสามคนใกล้จะถึงประตูปราสาท  สหายของอ่องคือหุ่นทั้งสี่ก็ออกมาต้อนรับ  เทวากล่าวว่า

"ขอต้อนรับที่ได้กลับบ้าน บัดนี้เจ้าก็ได้ทราบแล้วว่าทรัพย์สินมีค่าและอำนาจนั้น ย่อมนำแต่ภัยพิบัติมาให้ ไม่เคยนำความสุขสงบความสบายกายสบายใจมาให้เลย เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะรู้จักใช้ปัญญาอันฉลาด ผ่อนพละอำนาจแบบยักขาลงเสียบ้าง และรู้จักใช้ความรักและเมตตาธรรมช่วยให้ฤทธิ์เดชแบบซอคะยีอ่อนโยนลงเสียบ้าง ทีนี้ลองฟังเขมะดูบ้างสิ"

ดาบสเริ่มด้วยคำว่า "อ่องเอ๋ย เจ้าเคยมีแล้วทั้งทรัพย์และอำนาจ แต่เจ้าก็ได้เห็นด้วยตาตนเองแล้วว่า มันมิได้นำความสุขสบายมาสู่เจ้าเลย บัดนี้เจ้าได้ทั้งทรัพย์และอำนาจคืนมาแล้วเจ้าก็คงเป็นสุขละ แต่มิใช่สุขที่เกิดจากมัน เพราะถึงมีมันก็ไม่เคยเป็นสุขเพราะมัน ทรัพย์และอำนาจนั้น ตัวมันเองไม่ได้นำความดีหรือความชั่วมาให้ มันสำคัญที่ตัวเจ้าจะรู้จักใช้มันด้วยวิธีใด เจ้าเองก็ได้บทเรียนอันยิ่งใหญ่ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิตของเจ้าแล้ว"

อ่องขอบใจเพื่อนเกลอทั้งสี่อย่างซาบซึ้ง  แม้แต่ยักขาและซอคะยีเขาก็ต้องขอบใจด้วย  มิใช่เป็นความผิดของยักขาและซอคะยี  อ่องเองต่างหากที่ผิด  ผิดเพราะเขายอมให้ทรัพย์และอำนาจนำเขาไปในทางที่ผิด  ต่อแต่นี้ไปอ่องตั้งเจตนาแน่วแน่  ว่าจะใช้ทรัพย์สมบัติและอำนาจทั้งปวงที่เขามีไปในทางที่ดี  ในทางที่จะทำให้ผู้อื่นเป็นสุข

อ่องสร้างเจดีย์ไว้บูชา  ข้างเจดีย์นั้นอ่องประดิษฐานรูปปั้นของ เทวา ยักขา ซอคะยีและเขมะไว้  นักแสวงบุญจากแดนใกล้แดนไกลพากันมานมัสการเจดีย์นั้น  ทั้งอ่องและมาลาคอยเชื้อเชิญต้อนรับเขาเหล่านั้นด้วยไมตรีจิต  จัดหาอาหารและที่พักพิงให้  ด้วยประการฉะนี้  เขาทั้งสองจึงครองสุขด้วยกันสืบมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น