วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถาม-ตอบ

003 005 007 009 010 011 012 013

ผีเปรต

 

 

ผีเปรตในตำนานผีไทยกล่าวไว้ว่า มีอยู่ 12 ตระกูลให_่ๆ ใครอยากจะทราบราย ละเอียดต้องไปดูในคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ นิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ หรือดูจากจารึกการเปรีย_ ณ วัดพระเชตุพนฯ และห าอ่านได้จากประชุมศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ เล่ม 1 ซึ่งคัดลอกและถ่ายทอดมาโดยย่อ ดังนี้
หิมวนตปปเทเส วิชาติเปโต นาม เปตวิสโย กาลครั้งหนึ่งยังมี ประเทศแห่งหนึ่งใ นป่าหิมพานต์ ชื่อว่าวิชาตประเทศ ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนรกขึ้นมา อันเป็นที่อยู่แห่งเปรตทั้งหลายมีมหิทธกาเปรตเป็นอธิบดีแก่เปรตทั้งปวง และตระกูลเปรตนั้นมีอยู่ 12 ตระกูล คือ
1. วันตาสาเปรตตระกูล
2. กูณปขาทเปรตตระกูล
3. คูถขาทเปรตตระกูล
4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล
5. สุจิมุขเปรตตระกูล
6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล
7. นิชฌามกเปรตตระกูล
8. สัตตังคาเปรตตระกูล
9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล
10. อัชครังคาเปรตตระกูล
11. เวมานิกเปรตตระกูล
12. มหิทธิกาเปรตตระกูล
นอกจากเปรต 12 ตระกูลนี้ ยังมีเปรตอีก 19 จำพวก ได้แก่
1. สุจิโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นเข็ม
2. ขุรโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นกรด
3. เอกปาทา คือ เปรตผู้มีเท้าข้างเดียว
4. อเนกปาทา คือ เปรตผู้เท้ามาก
5. เอกหตถา คือเปรตผู้มีมือข้างเดียว
6. อเนกหตถา คือ เปรตผู้มีมือมาก
7. เอกเจตตา คือ เปรตผู้มีจักษุข้างเดียว
8. อเนกเนตตา คือ เปรตผู้มีจักษุมาก
9. ได้แก่ เปรตจำพวกที่กินมลทินครรภ์เป็นอาหาร
10. ได้แก่ เปรตจำพวกขนหยักเยื่อทูลศีรษะไว้เป็นนิตย์
11. ได้แก่ เปรตจำพวกกายยาว 25 เส้น นอนกลิ้งอยู่ดุจแผ่นศิลา
12. ได้แก่ เปรตจำพวกตัวจมอยู่บนภูเขาเพียง สะเอว ไฟไหม้อยู่
13. ได้แก่ เปรตพวกไถนาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
14. ได้แก่ เปรตจำพวกมีกายสูง มีกลิ่นตัวเหม็นยิ่งนัก
15. ได้แก่ เปรตจำพวกมีพืชเป็นเหล็กเป็นเปลวเพลิงรัดศีรษะอยู่
16. ได้แก่ เปรตจำพวกมีร่างกายผอม และเปลือยกายอยู่ตลอดเวลา
17. ได้แก่ เปรตจำพวกรูปชั่วตัวผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ศีรษะกลั้วไปด้วยฝุ่น
18. ได้แก่เปรตจำพวกดำดุจตอไฟไหม้ และ
19. ได้แก่ เปรตจำพวกสูงเท่าลำตาล มีแต่หนังหุ้มกระดูก
เปรตไม่สมประกอบ 4 ชนิด
1. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ ร่างกายซูบผอมอดโซ
2. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิการ เช่น กายเป็นอย่างร่างของมนุษย์ แต่ศีรษะ เป็นอย่างสัตว์ดิรัจฉาน เช่น ตัวเป็นคนหัวเป็นนกกาบ้าง...เป็นสุกรบ้าง...เป็นสุนัขบ้าง
3. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิกล เสวยกรรมกรณ์ (รับกรรม รับอา_า) อยู่ตา มลำพังด้วยอำนาจบาปกรรมที่ได้กระทำเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์
4. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ปกติ แม้เป็นผู้เสวยก็มีวิมานอยู่ แต่ใน ราตรีต้องออกจากวิมานไปเสวยกรรมจนกว่าจะรุ่งเช้า เรียกว่าวิมานนิกเปรต
เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่ง ซึ่งเคยทำบาปสร้างกรรมเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ครั้น ตายลงแล้วก็ต้องมารับผลกรรมตามที่ได้สร้างไว้ทำให้ต้องมีความเป็นอยู่อย่างอดอยาก ผอมโซ ชอบส่งเสียงร้องหรือปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นเพื่อขอส่วนบุ_ให้ช่วยทำบุ_อุทิศส่วนกุศลไปให้บ้างเพราะอดอยากหิวโหยซะเหลือเกิน
โดยทั่วไปคนส่วนให_่เข้าใจว่า เปรตเป็นผีชนิดหนึ่งที่มีลำตัวสูง บ้างว่าสูงเท่าลำตาล สูงเท่าต้นตาลหรือยอดตาล บ้างว่าสูงเท่าเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ บ้างว่าสูงเท่ายอ ดธง หากเป็นสมัยนี้คงต้องเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันใหม่ว่า สูงกว่าตึกห้าชั้น หรือสูงเท่ากับคอนโดมิเดียมริมน้ำอะไรทำนองนี้ สรุปใจความก็คือ เปรตเป็นผีที่มี รูปร่างสูงมาก จนมีคำพูดติดปากล้อใครที่ตัวโย่งๆว่า ....สูงยังกับเปรต แต่เนื่องจากกรรมหรือการกระทำในทางที่ชั่วร้ายมีแตกต่างกันไป เมื่อตายแล้วจึงได้เกิดเ ป็นเปรตชนิดต่างๆกัน เช่น คนที่ชอบดุด่าตบดีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ จะต้องไปเกิดเป็นเปรตจำพวกที่มีปากเท่ารูเข็ม มือโตเท่าใบพายหรือใบตาล อดอยากและหิวโ หยอยู่เป็นนิตย์ ลองคิดดูว่าหากใครเกิดมามีปากเท่ารูเข็ม เวลาจะกินข้าวต้องเอายัดเข้าปากไปทีละเมล็ดมันจะทรมานทรกรรมขนาดไหน เป็นคำขู่หรือเตือนสติข องคนโบราณ ให้ลูกหลาน มีความกตั__ู ให้การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชราและไม่ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจใครขืนเป็นอย่างที่ว่ารวมทั้งพวกเกกมะเหรกเกเร ชาวบ้ านก็จะพากันด่าประณามว่า...ไอ้เปรต คนที่ชอบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ตีไก่ เชือดหมู เชือดวัว อยู่เป็นอาจิณ เวลาตายไปแล้วอาจต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภท ตัวเป็นค นหัวเป็นไก่ หรือหัวเป็นหมู ตามแต่ผลกรรม ใครทำกรรมเอาไว้อย่างไรก็จะได้ผลกรรมอันนั้นตอบสนอง ฉะนั้นเปรตอาจมีอยู่หลายชนิดหลายจำพวก ใครอยากเห็นก็ลองดูรูปปั้นเปรตชนิดต่างๆ ได้ที่วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี
เปรตมีที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไปตามประเภทและเผ่าพันธ์รวมทั้งคติความเชื่อที่บอกต่อหรือสืบทอดกันมา บางตำราว่าอาศัยอยู่ตามวัดคอยปรากฏตัวหลอกหลอ นหรือแสดงร่างให้เห็นเพื่อขอส่วนบุ_ บ้างว่าอยู่ตามท้องทุ่งตามทางเปลี่ยวใครไปเที่ยวดึกๆ กลับบ้านคนเดียวเดินผ่านศาลาวัด หรือตามทางแยก อาจเจอเปรตเดิ นตามหลังมาส่งถึงบ้าน หรือเดินเป็นเพื่อนมาตลอดทาง ซึ่งหากเจอเปรตก็ไม่ต้องตกอกตกใจอะไร วิ่งลูกเดียว หรือหากว่ามีเปรตและผีชนิดใดก็ตามขวางหน้าเรา อยู่ โบราณว่าอย่าวิ่งหันหลังกลับ เพราะจะโดนมันดักหน้า ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งฝ่าไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีกลางค่ำกลางคืน นอนอยู่บ้านสบายที่สุด...ว่ามั๊ย...
เปรตกินอะไรเป็นอาหารคงไม่ต้องบอก เพราะไม่รู้เหมือนกันนอกจากมีความเชื่อกันว่า เวลาทำบุ_อุทิศส่วนกุศลให้แก่_าติที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเปรตก็จะมารับ ส่วนบุ_จากลูกหลานได้กินอิ่มหมีพีมันไปมื้อหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็อดอยากหิวโหย นอกจากพวกอาหารคาวหวานแล้ว บางทีลูกหลานจะถวายเสื้อผ้าเครื่ง อนุ่งห่มแก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อให้ผี_าติๆ ของตนไม่ต้องโป๊หรือเปลือยกายล่อนจ้อน ใครจะศรัทธาแก่กล้าถึงขนาดถวาย ซาวด์อเบาท์ หรือโทรทัศน์ วีดีโอ ซีดี. ก็ ตามถนัดไม่ผิดกติกาอันใด หากไม่มี_าติหรือ ลูกหลานคอยทำอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเปรตเหล่านี้จะหิวโหย ร้องโหยหวล เสียงร้องของเปรตไม่มีใครยืนยันได้ว่ าไพเราะเพราะพริ้งขนาดไหน นอกจากในบางตำรา บอกไว้ว่า มันส่งเสียงร้องดังกรี๊ดๆ เป็นเสียงหวิวหวีดฟังแล้วชวนวังเวง วิเวกวิโหวเหว คนล่ะอย่างกับที่พวก วัยรุ่นกรี๊ดกร๊าดเวลาเจอดารายอดนิยมหรือตอนดูคอนเสิร์ตหลังหมอชิต ว่ากันว่าที่เสียงมันดังกรี๊ดๆ ก็เพราะเกิดจากแรงดันของลมจากท้องผ่านช่องปากที่เล็กเท่า รูเข็ม เลยกลายเป็นเสียงอย่างที่บอก แบบนี้พวกเปรตที่มีหัวเป็นไก่ก็อาจจะร้องเสียง เอก-อี้-เอ้ก-เอ้ก ก็ได้ล่ะมั้ง ถ้าใครทำบุ_หากจะอุทิศก็ขอให้กล่าวหรือออกน ามพวกผีไม่มี_าติ หรือบรรดาผีๆ ทั้งหลายรวมทั้งคุณผีเปรตด้วย เพื่อที่จะได้ไม่หิวโหยร่างกายผอมโซจนน่าสงสาร
หลังจากที่ถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิต นางวันทองได้กลายเป็นผีเปรตที่ไม่มีหั วหรือเปรตหัวขาด วันหนึ่งนางทราบข่าวว่าพระไวยวรนาถลูกชาย กำลังจะไปรบกับผู้เป็นพ่อคือขุนแผน เปรตนางวันทองกลัวพ่อกับลูกจะต้องฆ่ากันเอง พลอยเป็นบาปกรรมติดตัวกันไปเปล่าๆ ก็เลยออกมาห้ามทัพ โดยแปลงกายเป็นสาวงาม นั่งเล่นอยู่บนชิงช้า เพราะรู้ว่าพระไวยฯ นั้นชีกอเหมือนพ่อนั่นแหละพระไวยฯ ไม่ทราบความนัย จีบสาวงามที่ได้พบ แม้เธอจะบอกว่าเป็นแม่ หรือนางวันทอง พระไวยฯ ก็ไม่ยอมเชื่อจนนางต้องแปลงเพศกลับเป็นเปรตอย่างเดิมเพื่อให้เห็นแจ้งประจักษ์ ว่ากันว่า เปรตนอกจากจะมีรูปร่างผอมโซจนเห็นโครงกระดูกทุก ซี่และมีความสูงชนิดผีฝรั่งอายแล้ว มันยังสามารถ แลบลิ้นได้ยาวเท่ากบความสูงของตัวเองอีกด้วย อะไรจะเว่อร์ปานนั้น
เปรตน่าจะเหมือนผีธรรมดาสามั_ทั่วไปคือ กลัวพระ กลัวเครื่องรางของขลัง ลอ งเจอเข้าเป็นเผ่นกระเจิง เพราะผีกับพระไม่ถูกกัน เหมือนงูกบเชือกกล้วยยังไงยังงั้น แต่สำหรับ ผีเปรตมีท่านผู้รู้แนะนำว่า หากใครเจอระหว่างทางหรือเจอที่ไห นก็แล้วแต่ ให้รีบบอกว่า...ไปที่ชอบๆ...หรือไปผุดไปเกิดซะเถอะ แล้วจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ เท่านี้ผีเปรตและผีทั้งหลาย ก็จะเลิกตอแย หายตัวแว๊บ..ไปเลย แ ล้วก็อย่าลืมทำตามสั__า เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเจออีกเป็นรอบที่สอง เพราะคุณผีเขามาทวงส่วนกุศลนั่นแหละ
ผีเปรต หรือชาวอีสานเรียกว่า ผีเผด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เอ๊ย..ไม่ใช่ เกิดหรื อถือกำเนิดขึ้นตามผลกรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้ สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตำราโบราณกล่าวว่า เวลาที่เปรตตัวเดิมจะพ้นจากกรรมได้ไปผุดไปเกิด จะมีเปรตตัวใหม่ มารับตำแหน่งแทนดังมีเค้ามาจากนิทานพระมาลัยเรื่องหนึ่ง ดังนี้
ยังมีมานพหนึ่งคนหนึ่งชื่อว่า มิตตวินทุ อยากจะไปเที่ยวทะเลกับพ่อค้าสำเภาจึงเ คี่ยวเข็_เอาเงินทองจากมารดาซึ่งเป็นแม่ม่ายใจบุ_ ด้วยความเป็นห่วงลูกชายมารดาก็ขัดขวาง มิตตวินทุปกติเป็นคนเกกมะเหรกเกเรอยู่แล้ว จึงโกรธจนลืมตัวถี บแม่จนล้มแล้วหนีไปเที่ยวทะเลจนได้ แต่ผลกรรมตามทันทำให้เรือแตก มิตตวินทุว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งที่เกาะแห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของพวกเปรต แต่ชายหนุ่มกลับม องเห็นกงจักรที่หมุนคว้างผ่าศีรษะของพวกเปรตเหล่านั้นเป็นดอกบัวซึ่งประดิษฐ์เป็นมาลาสวมใส่ไว้อย่างสวยงาม..เห็นเลือดที่ไหลย้อยมาตามตัวเป็นสังวาลสาย สร้อย เห็นพวกเปรตที่กำลังร้องครว_ครางยกมือยกไม้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดเป็นการร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข มิตตวินทุจึงเอ่ยปากขอพวกเปรตรู้ ว่ามีผู้มารับกรรมหรือรับ
ช่วงต่อ แสดงว่าพวกตนได้พ้นจากกรรมที่เคยกระทำเอาไว้แล้วก็ดีใจ รีบยกให้อย่างไม่ลังเล จึงเป็นที่มาของคำพังเพยไทยที่ว่า "เห็นก งจักรเป็นดอกบัว เห็นสองโพดำเป็นสเปโต..." อะไรทำนองนี้แหละ
ในพจนานุกรมฉบับต่างๆ กล่าวถึงเปรตพอรวมความได้ว่าเป็นสัตว์พวกหนึ่ง เกิ ดในอบายภูมิ แปลว่า แดนแห่งความทุกข์เป็นผีเลวจำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด รูปร่างสูงโย่งยังกับลำตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซเพราะอดอยาก ปากเท่ารูเข็ม..... สงสัยจะหมายถึงเข็มเย็บผ้ามากกว่าเข็มเย็บกระสอบ มีมือโตเท่าใบตาล กินเลือดและหนองเป็นอาหาร ร้องเสียงดังกรี๊ดๆ ไม่ใช่กรี๊ดกร๊าด ส่วนในหนังสือไ ตรภูมิพระร่วง พรรณนาเกี่ยวกับเปรตเอาไว้ว่า บางจำพวกอยู่ในมหาสมุทร บนยอดเขา ตามไหล่เขา แต่บางจำพวกก็อยู่ในปราสาท มีช้างม้าเป็นข้าทาส บางจ ำพวกเวลาข้างแรม เป็นเปรต เวลาข้างขึ้นเป็นเทวดา ฯลฯ อันนี้แล้วแต่บุ_กรรมที่ได้กระทำเอาไว้
ทางภาคใต้ มีผีอยู่ชนิดหนึ่ง เรียกว่า 'ผีหลังกลวง" เป็นผีที่มีรูปร่างลักษณะอย่างค น แต่ข้างหลังเป็นรูกลวงสามารถมองเห็นเครื่องในประเภทตับไตใส้พุงได้หมด มีหนอนยั๊วเยี๊ย เวลาใครก่อไฟผิงอยู่กลางแจ้ง ผีหลังกลวงจะทำทีเข้ามาขออาศัย ด้วย แล้วหลอกหลอนโดยการแสดงให้เห็นอวัยวะภายในจากหลังที่กลวง บางทีมันแกล้งวานเด็กๆ เกาหลังให้ แล้วหลอกให้เห็นอวัยวะภายในหรือหลังที่กลวงซึ่งมีกิ๊งกือเต็มไปหมดผีพวกนี้ไม่ทำร้ายใคร แต่จะหลอกหลอนให้ตกใจกลัว

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฮองกง

ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในฮ่องกง แต่เนื่องจากเป็นเที่ยวบินรอบค่ำ เราจึงมีเวลาอีกหนึ่งวันเต็มๆในฮ่องกง แผนการคร่าวๆคงไม่มีอะไรมาก แค่ไปวัดนางชีกับเดินเล่นที่ถนนนาธานเท่านั้นก็น่าจะหมดวันนี้แล้ว แต่ก่อนอื่นใดกิจกรรมยามเช้าที่พลาดไม่ได้สำหรับการมาเยือนฮ่องกง นั่นคือการลองลิ้มชิมติ่มซำกัน เราเลือกร้านติ่มซำที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมที่พัก หน้าร้านมีการตั้งโต๊ะจำหน่ายสำหรับคนที่ต้องการซื้อกลับบ้าน ภายในเรียงรายด้วยโต๊ะจีนที่ขณะนี้เต็มไปด้วยลูกค้าที่มาอุดหนุน โดยความแตกต่างของร้านติ่มซำของที่นี่กับร้านที่เมืองไทยอย่างหนึ่งคือลูกค้าที่มาอุดหนุนจะนั่งรวมๆกันภายในโต๊ะตัวเดียว เพราะส่วนใหญ่มากันสองสามคน ซึ่งเราสามคนก็ไม่เว้นที่จะต้องไปนั่งรวมกับลูกค้าที่มาก่อนหน้านี้แล้ว พนักงานมารับออเดอร์พวกเราท่ามกลางความงงๆว่าจะสื่อสารกันอย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดคือชี้ๆของคนอื่นเอาซึ่งก็พอรอดตัวมาได้ รสชาติติ่มซำที่นี่ก็ไม่ผิดหวังครับ ติ่มซำยามเช้าเคล้าด้วยชาร้อนๆแก้เลี่ยนแค่นี้ก็อิ่มแล้วครับ

เราเดินมุ่งหน้าสู่สถานีหม่งก๊กเช่นเดิม ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงสถานี Diamond Hill อันเป็นทีตั้งของสวนนานเหลียน (Nan Lian Garden) กับวัดนางชี หรือชื่อเต็มๆคือ วัดชินหลิน สำหรับสวนนานเหลียน เป็นสวนสาธารณะที่ตกแต่งอย่างสวยงามตามแบบสวนในสมัยราชวงศ์ถัง ภายในมีการจัดแต่งได้อย่างสวยงามทั้งต้นไม้ อาคาร ลำธาร ล้วนได้รับการออกแบบอย่างประณีต ตามทางเดินจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกเป็นระยะๆ สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นคือเก๋งจีนสีทองอร่ามที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเกาะกลางน้ำ

ทางเดินภายในสวนที่ลัดเลาะไปในแต่ละส่วนสร้างควาประทับใจด้วยภาพของศาลาริมน้ำ สวนหินและลำธาร พร้อมกับเสียงเครื่องดนตรีจีนโบราณที่คลอเคลียอย่างแผ่วเบา สร้างความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรรยากาศกลางเมืองของฮ่องกงที่ดูรีบเร่งและวุ่นวาย

เพียงข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามก็เป็นที่ตั้งของวันชินหลิน วันใหญ่ที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังเช่นเดียวกับสวนนานเหลียน อันที่จริงสถานที่ทั้งสองแห่งได้รับการออกแบบให้ส่งเสริมซึ่งกันและกัน อาคารไม้หลังใหญ่หลายต่อหลายหลังที่ได้รับการวางผังไว้เป็นอย่างดี หลังคาโค้งที่อ่อนช้อยดูเรียบง่ายแต่งดงาม มีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่ไม่มากนักบรรยากาศจึงดูสบายๆเหมาะกับการนั่งเล่นเป็นอย่างยิ่ง

360434

หลังจากใช้เวลาอ้อยอิ่งอยู่ที่สวนกับวัดนางชีจนคล้อยบ่ายก็ได้เวลากลับเข้าเมืองกัน บ่ายนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเดินเล่นแถวถนนนาธาน รอเวลากลับบ้านในคืนนี้ครับ ซึ่งขากลับเราใช้บริการรถไฟ Airport Express เช่นเดิม โดยสามารถเช็คอินได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินฮ่องกงเลย แต่ปัญหาก็คือ แทนที่สายการบินจะมารับรถเข็นที่หน้าประตูเครื่องบินดังเช่นขามา เจ้าหน้าที่เช็คอินกลับบอกว่าจะต้องทำการโหลดรถเข็นจากที่นี่เลย โดยจะมีเจ้าหน้าที่พร้อมรถเข็นมารับตรงที่เช็คอินเพื่อนำไปส่งที่รถไฟ Airport Express แล้วหลังจากเดินทางไปถึงสนามบิน จะมีเจ้าหน้าที่อีกคนพร้อมรถเข็นมารับพร้อมกับพาเดินผ่านพิธีการจนกระทั่งถึงทางขึ้นเครื่อง ฟังดูซับซ้อนดีมั้ยครับ แต่อย่างไรก็ไม่ได้สร้างความลำบากเพราะทางเจ้าหน้าที่มีการประสานงานกันอย่างดี มีการรับช่วงต่อกันเป็นทอดๆตามหน้าที่ของแต่ละคน

360433

เครื่องบินทยานออกจากสนามบินฮ่องกงเมื่อยามพลบค่ำ พอเครื่องลงจอดยังสนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่พร้อมรถเข็นก็มายืนรอรับถึงหน้าประตูก็พาเราผ่านพิธีการด้วยความเรียบร้อย จนกระทั่งมารับกระเป๋าพร้อมรถเข็นที่โหลดมาใต้เครื่อง จึงทำการเปลี่ยนรถเข็นแล้วบอกลาเจ้าหน้าที่พร้อมกับคำขอบคุณที่ช่วยดูแลเป็นอย่างดี

360432

เราเดินทางกลับถึงบ้านอย่างสวัสดิภาพ กับการเดินทางสี่วันที่ดูราบรื่นไร้ซึ่งอุปสรรค ซึ่งจะว่าไปคงเป็นเพราะฮ่องกงเป็นประเทศที่ค่อนข้างเอาใจใส่กับผู้พิการ บรรดาสาธารณูปโภคพื้นฐานจึงมีการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานวีลแชร์โดยมีการใส่ใจกับรายละเอียด ทั้งฟุตบาต ลิฟท์ ทางเดิน ที่ส่วนใหญ่บ้านเราจะหลงลืมและมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับผู้ที่ต้องใช้วีลแชร์แล้วหละก็ เรื่องเหล่านี้ไม่เล็กเลยนะครับ และที่ขาดไม่ได้คือบุคลากรตามสถานที่ต่างๆที่ได้ไปเยือน ทุกคนให้การอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่และเต็มใจ สุดท้ายก็หวังว่าเอ็นทรี่นี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนนะครับว่าการออกเดินทางโดยใช้วีลแชร์ไม่ได้ยากเกินไปกว่าที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องเตรียมตัวให้ดีและกล้าที่จะตัดสินใจออกเดินทาง แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางในทริปหน้าครับ

360431

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทาน หุ่นทั้งสี่

ครั้งหนึ่งมีช่างทำหุ่นและภรรยา  ทั้งคู่มีบุตรชายชื่อ อ่อง วันหนึ่งอ่องตัดสินใจจะออกจากบ้านเพื่อเที่ยวแสวงหาโชคในแดนไกล  เมื่อบิดาอนุญาตแล้ว  อ่องก็เตรียมตัวเดินทาง  มารดาจัดหาอาหารที่จะเก็บเอาไว้ได้นานวันให้เอาไปกินตามทาง  บิดาก็ให้หุ่นไปสี่ตัวเพื่อเก็บเอาไว้เป็นเพื่อนและไว้ช่วยเหลือกันตามทาง

หุ่นตัวแรกแกะเป็นชาวสวรรค์  ให้ชื่อว่า "เทวา "แต่งด้วยเสื้อขาวสะอาดแกมสีทองห้อยยาวเป็นจีบพริ้วเหมือนปุยเมฆ หุ่นตัวที่สองแกะเป็นยักษ์ใหญ่ให้ชื่อว่า "ยักขา" มีเกล็ดสีเขียวมรกตห่อหุ้มทั่วร่างกาย  มีอินทนูเหมือนแหลมทอง  แหลมเปี๊ยบงอกออกมาจากไหล่ทั้งสองและจากศอกทั้งสอง หุ่นตัวที่สามแกะเป็นครึ่งคนครึ่งเทพให้ชื่อว่า "ซอคะยี"  สีกายแดงเป็นประกายดังเพลิงปนด้วยจุดสีทอง หุ่นตัวสุดท้ายแกะเป็นดาบสให้ชื่อว่า "เขมะ"  ใส่เสื้อยาวเรียบๆ  ถือไม้เท้ายาวและอุ้มบาตร

พอเตรียมตัวเสร็จ  อ่องก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าบิดามารดา  พนมมือทั้งสองเป็นรูปดอกบัวตูม  ก้มศีรษะลงไหว้บิดามารดาสามครั้ง  บิดามารดาก็อวยชัยให้พร  แล้วอ่องก็ออกเดินทาง  คอนไม้ไผ่ลำแข็งแรงลำหนึ่งไว้บนไหล่  ปลายไม้ข้างหนึ่งคล้องห่อเสื้อผ้าอาหาร  อีกข้างคล้องหุ้นทั้งสี่ตัวไว้

วันแรกของการเดินทางนั้น  เมื่อเงามืดยามเย็นเริ่มปกคลุมพื้นดิน  อ่องรู้สึกว่าตัวเขากำลังเดินอยู่ในป่าอันมืดครึ้ม  เขามองหาถิ่นที่จะพักแรมในตอนกลางคืน  เห็นพื้นดินใต้ร่มไทรต้นหนึ่งน่าสบายนัก  แต่อ่องก็หันไปปหารือเทวาก่อนว่า  ควรจะพักนอนตรงนั้นหรือไม่ เขาตะลึงเพราะอัศจรรย์ใจที่เทวามีชีวิตขึ้นมาต่อหน้าต่อตา  พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอันเมตตาว่า  "อ่องเอ๋ย เจ้าต้องใช้นัยน์ตาของเจ้า แล้วคิดเอาเองเถิด"

อ่องเหลียวมองรอบๆอย่างพินิจพิเคราะห์  ก็แลเห็นรอยเท้าเสือใต้ต้นไทร  เขาจึงเลิกคิดที่จะนอนบนใบไม้อันอบอุ่นอ่อนนุ่ม  แต่ปีนขึ้นบนต้นไม้และนอนอย่างไม่เป็นสุขตลอดคืนนั้น  เขานึกขอบคุณคำเตือนของเทวา  เพราะในกลางดึกเงียบสงัดนั้นเอง  อ่องได้เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่กับเมียของมันมาสูดกลิ่นเสียงฟุดฟิดอยู่ตรงบริเวณใต้ต้นไทร

อ่องเดินทางต่อไปอีกสองสามวัน  ก็มาพักแรมอยู่บนเนินเหนือหนทางเดินบนเขา  เมื่ออ่องมองไปมองมาก็แลเห็นกองเกวียนกำลังมุ่งมาตามทางนั้น  เขารู้ว่ากองเกวียนกองนี้ต้องบรรทุกของมีค่ามาจากแดนไกล  ทันใดความโลภก็เข้าครอบงำ  อ่องอยากได้สมบัติมาเป็นของตน เขาจึงหารือยักขาว่าทำอย่างไรจึงจะได้ของมีค่าเหล่านั้น  ยักขาตอบว่า

"อ่องเอ๊ย สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา เจ้าก็ต้องเอาสิ่งนั้นให้ได้ ไม่มีอะไรจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้ามีพลังและอำนาจ ดูนี่แน่ะ" แล้วยักขาก็กระทืบเท้าขวาลงบนพื้นดิน แผ่นดินก็หวั่นไหวราวกับเรือต้องพายุ  เสียงก้อนหินใหญ่น้อยกระแทกกันดังสนั่นครั่นครืนเสียงกู่ก้องด้วยความตกใจกลัวเมื่อเนินเขาด้านหนึ่งทรุดถล่มลงขวางทาง  ชาวเกวียนวิ่งหนีเอาชีวิตรอด  เผ่นเตลิดเปิดเปิงไปทุกทิศทุกทางจนหายลับไปจากสายตา ยักขาเอ่ยขึ้น "เห็นไหมล่ะ อ่อง คนเกวียนหนีไปหมดแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของเจ้าแล้ว"

อ่องวิ่งลงไปยังทางเดินพร้อมกับร้องว่า "เป็นของเราทั้งนั้น ของเราทั้งนั้น" เขาวิ่งโผจากเกวียนเล่มหนึ่งไปยังเกวียนอีกเล่มหนึ่ง  สองแขนก็หอบหีบที่เต็มไปด้วยเงินทอง  ผ้าต่วน  ผ้าไหม  พรมปูนั่ง  พรมปูพื้นห้อง

ทันใดนั้น  อ่องก็ได้ยินเสียงสะอื้นกระซิกๆ  เขาแปลกใจมากจึงเหลียวหารอบๆ  อยู่นั่นเอง!  หญิงสาวผู้หนึ่งขดตัวซุกอยู่ในเกวียนเล่มหนึ่ง  เธอคือ มาลา เป็นลูกสาวเจ้าของเกวียนต้องถูกทิ้งไว้ตามลำพัง อ่องพยายามปลอบโยนเธอ  สัญญาว่าจะดูแลเธอให้ปลอดภัย  แต่เธอกลับโกรธมากเกรี้ยวกราดเอาว่า

"แกอยากได้ตัวฉันด้วยก็เชิญซิ เอาไปเสียพร้อมๆกับทรัพย์สินที่แกขโมยนี่แหละ แต่ฉันจะไม่ยอมพูดจากับแกเป็นอันขาด แกไอ้โจรปล้น ไอ้หัวขโมย" อ่องไม่รู้ว่าจะทำฉันใดดี  เขากำลังคิดหาคำพูดว่าจะพูดอย่างไร  พอดียักขาพูดขึ้นว่า

"มาเถิดน่า  เจ้าหนุ่มน้อย  อย่ามัวเสียเวลานั่งพูดกับหญิงขี้แยหน่อยเลย  ผู้ชายต้องเข้มแข็งไว้  ความเข้มแข็งเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจและพลัง  มาเถอะ  เรายังต้องมีอะไรจะต้องทำกันอีกมากนัก" จริงทีเดียว  อ่องยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำ  เมื่อได้ทรัพย์สมบัติที่อยากได้มาแล้ว  ไม่เพียงแต่จะเก็บรักษาไว้เท่านั้น  ยังต้องทำให้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นงอกเงยขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นเขาจึงขอให้ซอคะยี  หุ่นตัวที่สามช่วยเขา  "บอกหน่อยเถิด ท่านจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง" แทนคำตอบซอคะยีกระโดดแผล็วขึ้นไปบนอากาศ  กวัดแกว่งไม้เท้าสีแดงอยู่ไปมา  โลกธาตุทั้งหลายพลันอ่อนเชื่องมือลง  ก้มหลังที่เทียมอานไว้ลงรับใช้อ่องแต่โดยดี อ่องควรจะเป็นบุรุษที่เสวยสุขมากที่สุดในโลก  แต่การก็หาเป็นเช่นนั้นไม่  มาลาไม่ยอมพูดจาด้วยเลย  แม้อ่องจะประเคนของขวัญซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งงดงามให้เธอเท่าใด  มาลาก็ยังไม่เปิดปาก  ไม่หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น

ในที่สุด  มาลาก็เอ่ยปากกับอ่องในวันหนึ่งว่า  บิดาของเธอมาตามหาเธอที่ปราสาทของอ่อง  เพราะอ่องขโมยทรัพย์สมบัติของบิดาเธอเกลี้ยง  บิดาของเธอจึงยากจนข้นแค้นยิ่งนัก  และเนื่องจากทรัพย์สมบัติที่อ่องปล้นมานั้น  บัดนี้ก็เพิ่มพูนขึ้นมากมายหลังจากที่อยู่ในครอบครองของอ่องแล้ว  เธอจึงขอร้องให้อ่องคืนส่วนที่เป็นของบิดาของเธอเสียเถิด

อ่องเต็มใจทีเดียวที่จะทำตามคำขอร้องของมาลา  เขามีเงินทองมากมายสามารถคืนทรัพย์สินส่วนของบิดาของเธอ  และแถมกำไรบางส่วนที่เขาทำให้เพิ่มพูนขึ้นมาอีกด้วยก็ยังได้  แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน  อ่องขอให้มาลากรุณาแก่เขาสักอย่างหนึ่งคือ  ให้เธออยู่กับเขาต่อไปได้หรือไม่ ยักขาและซอคะยีคัดค้านแผนการนี้ของอ่องเสียงแข็ง  หุ่นทั้งสองเอ่ยว่า

"ถ้าเจ้าจำยอมเสียครั้งหนึ่งแล้ว มันจะไม่มีวันสิ้นสุดดอก คำขอร้องอื่นๆก็จะตามมาอีกเรื่อยๆ จำไว้นะ ในโลกแห่งเงินตราและอำนาจนี้ การเป็นบุคคลผู้อ่อนแอจะไม่ก่อให้เกิดผลดีเลย คนที่จำยอมเขาอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ได้รับผลดีด้วย"

ทีแรกอ่องก็พยายามจะโต้แย้ง  แต่ยักขาและซอคะยีกลับโต้หนักขึ้น  ทั้งคู่เยาะเย้ยความอ่อนแอของอ่อง  เย้ยแล้วเย้ยอีกให้อ่องได้อาย  ขณะกำลังโต้แย้งถกเถียงกันอยู่นั้น  คนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งแก่อ่องว่า  มาลาและบิดาพากันไปแล้วโดยไม่รอเอาทรัพย์สมบัติใดๆ

คราวนี้อ่องเองจึงสำนึกได้ว่า  ต่อแต่นี้ไปเขาจะมีแต่ทุกข์ระทม  เศร้าหมองและว้าเหว่  แต่ก็พลันหวนนึกขึ้นได้ว่าเขายังมีหุ้นตัวสุดท้ายที่บิดาให้แก่เขานานมาแล้ว  คือตัวที่ชื่อว่า เขมะ อ่องจึงไปขอคำแนะนำจากเขมะ  แต่เขมะนั้นไม่มีพลัง ไม่มีอำนาจและทรัพย์สินมีค่าใดๆเลย  มีแต่เสื้อ ไม้เท้าและบาตร  เขมะกล่าวกับอ่องว่า "แต่เราไม่เห็นจะสำคัญ เราไม่เคยรู้จักความไร้สุข เพราะเราสงบต่อโลก ดังนั้นกายใจเราจึงสงบลงด้วย"

อ่องตกลงใจจะลองมีชีวิตอยู่อย่างดาบส  เขาละปราสาทออกท่องเที่ยวพเนจรไปทั่วดินแดน  ขอบริจาคจากชนที่มีน้ำใจกรุณาต่อเขา  ก็แปลกพอใช้อ่องกลับรู้สึกเป็นสุขขึ้นกว่าเดิมมาก  มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขายังคงปรารถนาอยู่  คืออยากจะได้พบมาลาและบิดาของเธอเพื่อจะขอขมาลาโทษแย่งนอบน้อม  และขอให้ทั้งสองให้อภัยแก่เขา

วันหนึ่งอ่องไปยินอยู่ที่หน้าประตูบ้านของสามัญชนแห่งหนึ่ง  คอยว่าจะมีใครออกมาทำบุญทำทานบ้าง  เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกมา  นัยน์ตาของอ่องเพ่งลงต่ำอยู่ตลอดเวลา  จึงเห็นแต่มือสองข้างใส่อาหารลงในบาตร  เป็นมือขาวบางจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินอ่อนใต้ผิว  นิ้วเรียวงามนี้แหละที่เขาอยากแตะต้องมานมนานแล้ว อ่องจึงเงยหน้าขึ้น  อุทานออกมาว่า "มาลา เธอจำไม่ได้หรือว่าฉันคือใคร อ่องอย่างไรเล่า ฉันมาขออภัยโทษ พ่อของเธออยู่ไหน"

อ่องถูกนำตัวเข้าไปในบ้านบิดาของมาลา  เขาขอขมาคนทั้งสองอย่างอ่อนน้อม  ซึ่งทั้งมาลาและบิดาของเธอก็พร้อมที่จะให้อภัย  คนทั้งสามสนทนากันหลายเรื่องในอดีต ปัจจุบัน  และอนาคต  ในที่สุดมาลาและบิดาของเธอก็ยินยอมกลับปราสาทกับอ่อง เมื่อทั้งสามคนใกล้จะถึงประตูปราสาท  สหายของอ่องคือหุ่นทั้งสี่ก็ออกมาต้อนรับ  เทวากล่าวว่า

"ขอต้อนรับที่ได้กลับบ้าน บัดนี้เจ้าก็ได้ทราบแล้วว่าทรัพย์สินมีค่าและอำนาจนั้น ย่อมนำแต่ภัยพิบัติมาให้ ไม่เคยนำความสุขสงบความสบายกายสบายใจมาให้เลย เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะรู้จักใช้ปัญญาอันฉลาด ผ่อนพละอำนาจแบบยักขาลงเสียบ้าง และรู้จักใช้ความรักและเมตตาธรรมช่วยให้ฤทธิ์เดชแบบซอคะยีอ่อนโยนลงเสียบ้าง ทีนี้ลองฟังเขมะดูบ้างสิ"

ดาบสเริ่มด้วยคำว่า "อ่องเอ๋ย เจ้าเคยมีแล้วทั้งทรัพย์และอำนาจ แต่เจ้าก็ได้เห็นด้วยตาตนเองแล้วว่า มันมิได้นำความสุขสบายมาสู่เจ้าเลย บัดนี้เจ้าได้ทั้งทรัพย์และอำนาจคืนมาแล้วเจ้าก็คงเป็นสุขละ แต่มิใช่สุขที่เกิดจากมัน เพราะถึงมีมันก็ไม่เคยเป็นสุขเพราะมัน ทรัพย์และอำนาจนั้น ตัวมันเองไม่ได้นำความดีหรือความชั่วมาให้ มันสำคัญที่ตัวเจ้าจะรู้จักใช้มันด้วยวิธีใด เจ้าเองก็ได้บทเรียนอันยิ่งใหญ่ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิตของเจ้าแล้ว"

อ่องขอบใจเพื่อนเกลอทั้งสี่อย่างซาบซึ้ง  แม้แต่ยักขาและซอคะยีเขาก็ต้องขอบใจด้วย  มิใช่เป็นความผิดของยักขาและซอคะยี  อ่องเองต่างหากที่ผิด  ผิดเพราะเขายอมให้ทรัพย์และอำนาจนำเขาไปในทางที่ผิด  ต่อแต่นี้ไปอ่องตั้งเจตนาแน่วแน่  ว่าจะใช้ทรัพย์สมบัติและอำนาจทั้งปวงที่เขามีไปในทางที่ดี  ในทางที่จะทำให้ผู้อื่นเป็นสุข

อ่องสร้างเจดีย์ไว้บูชา  ข้างเจดีย์นั้นอ่องประดิษฐานรูปปั้นของ เทวา ยักขา ซอคะยีและเขมะไว้  นักแสวงบุญจากแดนใกล้แดนไกลพากันมานมัสการเจดีย์นั้น  ทั้งอ่องและมาลาคอยเชื้อเชิญต้อนรับเขาเหล่านั้นด้วยไมตรีจิต  จัดหาอาหารและที่พักพิงให้  ด้วยประการฉะนี้  เขาทั้งสองจึงครองสุขด้วยกันสืบมา

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทเรียนชีวิตจากต้นไม้

1_display(703)

มีชายผู้หนึ่งซึ่งมีลูกชาย 4 คน. เขาต้องการให้ลูกของเขาได้เรียนรู้ถึงการที่จะไม่ตัดสินอะไรรวดเร็วเกินไป. ดังนั้นเขาจึงได้ส่งลูกของเขาออกไปทีละคน ให้ออกไปดูและพิจารณาต้นลูกแพร์ ที่อยู่ห่างไกลนั้น.

ลูกชายคนที่1 ให้ไปในหน้าหนาว  คนที่2 ไปในฤดูใบไม้ผลิ คนที่3 ให้ไปในหน้าร้อน  และลูกชายคนเล็กสุดไปในฤดูใบไม้ร่วง. เมื่อพวกเขาได้ไปและกลับมาหมดแล้ว  เขาได้ให้ลูกทุกคนมาพร้อมหน้ากัน เพื่อเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาได้พบเห็นมา ลูกชายคนแรกบอกว่า  “ต้นไม้นั้นดูน่าเกลียด  คดงอ และผิดรูปร่าง”

ลูกชายคนที่สอง บอกว่า “ไม่เป็นอย่างนั้น” แล้วเล่าต่อว่า ต้นไม้นั้น แตกกิ่งก้าน แตกหน่อสีเขียวมากมาย ดูแล้วเต็มไปด้วยความหวัง”

ลูกชายคนที่สาม ไม่เห็นด้วย; เขากล่าวว่า “มันเต็มไปด้วยดอกที่บานสพรั่ง มีกลิ่นที่หอมหวาน และแลดูสวยงามยิ่งนัก, มันช่างเป็นสิ่งที่งดงาม ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาเคยพบเห็น”

ลูกชายคนสุดท้องไม่เห็นด้วยกับพี่ๆทุกคน; เขาบอกว่า “ต้นไม้เต็มไปด้วยผลสุกปลั่ง มากมาย ผลห้อยลงมาจนเต็มต้น, ดูเต็มไปด้วยชีวิต และความสมหวังที่เต็มเปี่ยม”

และแล้ว ชายผู้นั้นก็ได้อธิบายให้ลูกชายทุกคนฟังว่า “พวกเขาล้วนถูกหมด  เพราะที่แต่ละคนได้พบเห็นนั้นเป็น  แค่เพียงช่วงฤดูกาลเดียวของชีวิตต้นไม้ เขาบอกลูกชายของเขาว่า “พวกเจ้าไม่สามารถที่จะตัดสินไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ต้นใดๆ  หรือคนๆหนึ่ง  ด้วยระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่ฤดูเดียวเพราะแก่นแท้ของความเป็นคนของเขา ความเบิกบาน  สันติสุข  และความรักที่มาจากชีวิตของเขานั้น จะวัดได้อย่างถูกต้อง ก็ต่อเมื่อได้ดูอย่างครบถ้วนหลังจากผ่านครบทุกช่วงฤดูกาลแล้ว” หากคุณยอมแพ้หรือท้อถอยในฤดูหนาว, คุณย่อมพลาดความสดใสของฤดูใบไม้ผลิ, พลาดความสวยงามที่ฤดูร้อนมอบให้ และความสมหวังอันเต็มเปี่ยมจากฤดูใบไม้ร่วง.

คติธรรมสอนใจ อย่ายอมให้ความเจ็บปวดเพียงครั้งหนึ่งของชีวิต มาทำลายความสุขที่เหลือของชีวิต อย่าตัดสินความผิดถูกของชีวิต จากความยากลำบากเพียงแค่ช่วงเดียวของชีวิต จงบากบั่นฟันฝ่าช่วงเวลาอันยากลำบาก แล้วช่วงเวลาที่ดีกว่าย่อมตามมาภายหลังอย่างแนนอน

 

 

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใยไหม ขัดฟัน ป้องกันฟันผุ

โรคฟันผุ   นับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนไทย  ผลการสำรวจของกรมอนามัยล่าสุดพบเด็กไทยอายุ 12 ปี  ฟันผุเฉลี่ยร้อยละ 57  โดยกลุ่มอายุ 3 ขวบ ฟันผุร้อยละ  66  อายุ5 ขวบ ฟันผุร้อยละ 87 คือ  ผุทุก 9 ใน 10 คน  โดยเด็ก 1 คน ฟันผุเฉลี่ย 6 ซี่ ซึ่งจัดว่ามีฟันผุอยู่ในระดับที่สูงมาก ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากคนไทยมีวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากเฉพาะบริเวณ ด้านนอกและด้านในของตัวฟันจาการแปรงฟันเท่านั้น ยังไม่สามารถทำความสะอาดในส่วนของซอกฟันได้อย่างทั่วถึง เป็นเหตุให้ครบจุลินทรีย์  และเศษอาหาร  ที่ตกค้างและสะสมนานวันจะทำปฏิกิริยา กัน  จนเกิดกดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนผิวเคลือบฟันและทำลายตัวฟันในที่สุด   อีกทั้งการใช้  “ไหมขัดฟัน”  ที่ช่วยทำความสะอาดบริเวณซอกฟันได้มากขึ้นยังไม่เป็นที่นิยมและมีราคาแพง เนื่องจากในประเทศไทย ยังไม่มีการผลิตเส้นใยขัดฟันขึ้นเองต้องนำเข้าจากต่างประเทศ   ซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคและลดแรงจูงใจ  ในการใช้เส้นใยขัดฟันในคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
     ในอดีตนั้น เส้นใยขัดฟันใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติโดยทำจากเส้นไหม ก่อนที่มีการพัฒนามาใช้เส้นใย
สังเคราะห์ เช่น ไนล่อน ดังปัจจุบัน ซึ่งในประเทศไทยเองนับเป็นแหล่งขึ้นชื่อ ในการผลิต เส้นไหมอีกทั้ง
ยังมีสมุนไพรไทยและเครื่องหอม  ที่ไม่เพียงมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์   แต่ ยังประกอบไปด้วยคุณสมบัติ
ทางการแพทย์อีกมากมายด้วยเหตุนี้   นายชัยพร พัฒนจักร   อาจารย์จากโรงเรียนบ้านผือพิทยาสรรค์
อำเภอบ้านผือ      จังหวัดอุดรธานี      และทันตแพทย์หญิง พวงทอง   เล็กเฟื่องฟู    จากกรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข จึงเล็งเห็นถึงศักยภาพของเส้นไหมไทยที่สามารถนำมาทำไหมขัดฟันได้จึงร่วมมือ กัน
ริเริ่มทำการประดิษฐ์ “เครื่องรีดใยไหมขัดฟัน” ขึ้นภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาจากสำนักงานพัฒนา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช)

DSCF0005
วิธีการสาวไหมเครื่องสาวไฟฟ้า
การสาวใยไหมด้วยเครื่องสาวไหมไฟฟ้าแบบทูอินวัน  มีขั้นตอนและวิธีดำเนินการ  ดังนี้คือ
     1.ใส่รังไหมลงในตะแกรงแล้วนำไปต้มในน้ำเดือด ที่อุณหภูมิ 90 - 100 องศาเซลเซียส จำนวน 3 ครั้งครั้งละ 5 นาที แล้วนำออกมาพักไว้ในน้ำธรรมดาครั้งละ 1 นาที สลับกันจนครบ 3 ครั้ง
     2.  นำรังไหมมาเทใส่อ่างสาวรังไหมในช่องรวมรังไหม  ที่มีน้ำอุ่นประมาณ  40 – 50  องศาเซลเซียส   คัดเลือกรังไหมจำนวน  150  รัง  ใส่ที่ช่องสาวไหมใต้พวงสาวของเครื่องสาวไหมทูอินวัน
     3.  รวบเส้นใยของรังไหมทั้ง 150  รังมารวมกันเป็นเส้นใยไหมหนึ่งเส้น   สอดผ่านเส้นใยใต้รูของพวงสาว   จากนั้นดึงเส้นใยไหมผ่านตะกร้อพวงสาวสองตัวบนและล่าง   แล้วถักเกลียวไหม
จำนวนที่ต้องการที่พวงสาวแบบเดินแนล เพื่อให้เส้นใยทั้งหมดมัดรวมกันเป็นเส้นใยเดี่ยว  แล้วจึงคล้องผ่านตะกร้อพวงสาว
ตัวที่  3  และสอดผ่านรูคันส่ายเพื่อเส้นไหมกระจายเป็นระเบียบ  รวบปลายเส้นใยไหมไปไว้ที่อักกรอไหมเพื่อรวบเส้นไหมให้เป็นวงไม่พันกันบน กระบอกพีวีซี ของเครื่องสาวไหมทูอินวันจากนั้นเดินเครื่องสาวไหม   ในระหว่างนี้ผู้สาวต้องคอยควบคุมจำนวนเส้นใยไหมมีขนาดสม่ำเสมอ
โดยใช้หลักการเมื่อรังไหมหมดหนึ่งรังต้องเพิ่มรังไหมเข้าไปหนึ่งรังเสมอ
     4.  นำเส้นใยไหมที่สาวได้ออกจากอักพีวีซีพักไว้ให้แห้ง   หลังจากนั้นจึงนำไปขึ้นระวิงสาวไหมเพื่อทำเป็นเข็ดหรือใจไหม เพื่อให้เส้นใยไหมคลายตัวเป็นวงกลม  แล้วนำเชือกมาร้อยเป็นพวงแบบหลวมเป็นช่วง ๆ ตามช่วงว่างของระวิงสาวไหม   เพื่อไม่ให้เส้นใยไหมพันกันป้องกันไม่ให้เส้นใยไหมรวบเข้าหากัน  ขณะที่นำไปเส้นใยไหมไปผ่านกระบวนการฟอกไหมและจะทำให้การปั่นไหมเข้าอักไม้ ยุ่งยาก
    5.   นำเส้นใยไหมที่ทำเป็นเข็ดไหมหรือใจไหมแล้วไปตากแดดให้แห้ง

 

บริษัท  ยิ้มละไม  ไหมขัดฟัน จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนบริษัท ขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจ
ด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไหมขัดฟันสำหรับทำความสะอาดซอกฟันที่ผลิต ขึ้นด้วยเส้น ใยไหมแท้ ๆ จากตัวหนอนไหม ที่กลุ่มเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียงทำ เป็นอาชีพเสริมหลังจากการทำนาข้าว  โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ จัดจำหน่ายจะอยู่ภายใต้ตราผลิตภัณฑ์  ชื่อว่า “ยิ้มละไม  ไหมขัดฟัน” (Smile Floss)  ซึ่งคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ตามผลงานวิจัยรับรองในประสิทธิภาพและประสิทธิผล แล้วว่าเท่าเทียมกับไหมขัดฟันของต่างประเทศที่ผลิต
     จากเส้นใยสังเคราะห์ทางเคมีประเภทเส้นใยไนล่อน  จุดเด่นของไหมขัดฟันยิ้มละไม คือความอ่อนนุ่มจากเส้นใยไหมขัดฟันทำให้ผู้ใช้รู้สึกได้ ถึงความแตกต่าง ไม่ทำให้เกิดการเสียวเมื่อสัมผัสกับผิวฟันขณะใช้ บริษัทมีการจัดโครงสร้างองค์กรตามหน้าที่คือ  ด้านการบริหารการตลาด และการบริหารงานขาย ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลและธุรการ  และด้านการบริหารการผลิตและควบคุมคุณภาพ โดยด้านการผลิตไหมขัดฟัน  บริษัทฯ จะผลิตไหมขัดฟันโดยโรงงานของบริษัทเองภายใต้กรมวิธีตามลิขสิทธิ์ของ  นายชัยพร  พัฒนจักร  ครูชำนาญการพิเศษ  คุณครูที่ปรึกษาและ เจ้าของอนุสิทธิบัตร  ยินยอมให้บริษัทดำเนินวิธีการผลิต  สำหรับวัตถุดิบคือรังไหมบริษัทฯ จะทำสัญญากับกลุ่มเกษตรก รให้ทำการเลี้ยงไหมและส่งวัตถุดิบให้โรงงาน  ทำให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ  โดยสุดท้ายแล้วจะทำให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ ของประเทศไทยโดย รวมจากผลผลิตภายในประเทศที่มีมูลค่าสูงขึ้น
     ทางบริษัทฯ ซึ่งเล็งเห็นถึงแนวโน้มดังกล่าว จึงได้ทำการออกผลิตภัณฑ์ไหมขัดฟันที่ได้มาตรฐานทั้งในแง่ประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล เข้าสู้ตลาด โดยผลิตภัณฑ์จะถูกวางตำแหน่งไว้ในระดับสูง (premium) เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งเคยใช้ผลิตภัณฑ์ไหมขัดฟันของต่างประเทศ ที่ทำจากไนล่อนโดยจะทำการส่งเสริมการขายด้วยการเน้นที่สื่อ ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลด้านประโยชน์และความปลอดภัย ที่แท้จริง ซึ่งมีผลในการสร้างความน่าเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์และความภักดีในตราสินค้า โดยการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านขายยา ศูนย์บริการลูกค้าของบริษัท  จำหน่ายตรงกับลูกค้าในงานสินค้า OTOP และระบบสมาชิกแนะนำสมาชิก การขายทางไปรษณีย์  รวมไปถึงการขาย ผ่านช่องทางการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และ Direct mail อย่างไรก็ตามจากจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่มีคือด้านคุณภาพและงานวิจัยที่รองรับ นี้เอง ทางบริษัทฯ จึงมุ่งเน้นถึงการขยายตัวของส่วนแบ่งการตลาดด้วยการแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ในการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นสำคัญ
ลักษณะ ธุรกิจ
     เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไหมขัดฟันที่ทำ จากเส้นใยไหมแท้ ๆ  โดยการตั้งโรงงานการผลิตแบบครบวงจร  และการทำการตลาด โดยจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและคุณภาพสูง ทั้งมีการสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อการรับรู้และเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ของบริษัทฯ และทำการบริหารช่องทางการจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มลุกค้าเป้าหมาย  มีวางแผนการจัดจำหน่ายและการจัดเก็บสินค้าอย่าง มีประสิทธิภาพ

ไหมขัดฟันเคลือบขี้ผึ้งกลิ่น มิ้น 50 บาท     
ไหมขัดฟันเคลือบขี้ ผึ้งกลิ่นกานพลู 50 บาท   
ไหมขัดฟันเคลือบขี้ ผึ้งกลิ่นส้ม 50 บาท    
ไหมขัดฟันเคลือบขี้ ผึ้งกลิ่นแอ๊ปเปิล 50 บาท

สั่งซื้อสินค้ากรุณาติดต่อ   นายชัยพร  พัฒจักร


Email : chaiyajak@hotmail.com       Tel. 084-9250671